|
Written by Administrator
|
Tuesday, 16 January 2018 |
“อาการตกขาวใสๆ และมีเลือดปนจางๆ นั้น มักจะพบในมะเร็งของท่อนำไข่ ซึ่งเป็นโรคเนื้องอก (มะเร็ง) ที่พบน้อย” เกิดเป็นหญิงแท้จริงแสนลำบาก แต่ปรากฏว่าอายุเฉลี่ยของคุณผู้หญิงโดยเฉลี่ย (ทั่วโลก) ยืนยาวกว่าคุณผู้ชาย 5-10 ปี เพราะคุณผู้หญิงสนใจการเปลี่ยนแปลงในตัวเองมากกว่าคุณผู้ชาย โดยเฉพาะเรื่องของจุดซ่อนเร้นซึ่งจะได้รับความสนใจ ใส่ใจดูแลเป็นพิเศษ ซึ่งเป็นเรื่องที่ถูกต้อง นั่นเพราะตรงจุดซ่อนเร้น นี่คือจุดอ่อนของสรีระของคุณผู้หญิง คือเป็นช่องทางที่ช่องท้องของร่างกายสามารถที่จะติดต่อกับภายนอกได้ อะไรก็สามารถที่จะผ่านเข้าสู่โพรงกลางของร่างกาย ซึ่งเป็นที่อยู่ของอวัยวะสำคัญๆ ของร่างกาย ไม่ว่าจะเป็น เชื้อโรค สารมลพิษต่างๆ รวมทั้งสารก่อมะเร็ง ซึ่งในคุณผู้ชายโพรงช่องท้องหรือโพรงกลางร่างกาย เป็นระบบปิด ดังนั้นการอักเสบช่องท้องจึงเกิดยากกว่าในคุณผู้หญิง การที่คุณผู้หญิงจะเอาใจใส่กับสภาพของจุดซ่อนเร้นซึ่งจะเป็นประตูทางเข้าออกติดต่อกับส่วนกลางของร่างกาย จึงเป็นสิ่งที่ถูกต้องที่ต้องให้ความสำคัญ และเนื่องจากร่างกายคุณผู้หญิงมีความเปลี่ยนแปลงตามการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนเพศหญิงทุกรอบเดือน เพื่อเตรียมการทำหน้าที่ที่สำคัญที่สุดของมนุษย์คือ การสืบเผ่าพันธุ์ ในขบวนการเตรียมการก็จะมีการสร้างสารคัดหลั่งต่างๆ ในอวัยวะสืบพันธุ์ เพื่อรองรับทั้งการผสมพันธุ์และการปฎิสนธิ และรวมถึงการตั้งครรภ์ ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนเป็นภารทำหน้าที่ของอวัยวะสืบพันธุ์ภายในส่วนล่าง หรือที่เรียกขานกันว่า จุดซ่อนเร้น (ปากช่องคลอดและช่องคลอด) หน้าที่ที่สำคัญอันหนึ่งคือ เป็นที่กัก เก็บ และเกิดของสารคัดหลั่งที่เรียกว่า ตกขาว ซึ่งมีทั้งตกขาวปกติและไม่ปกติ ดังได้กล่าวไปบ้าง (โดยเฉพาะที่ไม่ปกติ) ที่จะกล่าวต่อนี้ เป็นสภาวะตกขาวที่เป็นมหันตภัย ตกขาวจากพยาธิ เป็นตกขาวที่เรียกได้ว่า ตกขาวคันบรรลัยโลก เป็นการตกขาวที่ต้องเรียกว่า คันทรมานที่สุด ทรมานกว่าตกขาวคันจากเชื้อรา ทำไม? เพราะเป็นอาการคันที่สุดๆ จะอดกลั้นไหวก็ว่าได้ อาจจะต้องเผลอเกาน้องหนูในที่สาธารณะก็ได้ ทำให้เสียเซลฟ์กันเลย พยาธิที่ว่านี้ไม่ใช่พยาธิที่เข้าใจกัน เช่น พยาธิในลำไส้ แต่เป็นจุลินทรีย์ เป็นสัตว์เซลล์เดียวที่มองเห็นได้ด้วยกล้องจุลทรรศน์กำลังขยายต่ำ (ถ้าแบคทีเรียต้องใช้กำลังขยายสูงกว่าเป็นหลายสิบเท่า) มีลักษณะคล้ายหยดน้ำ มีหางคอยตวัด ทำให้ตัวพยาธินี้เคลื่อนไหวไปในตกขาว และก็การที่มีหาง (ขน) โบกพัดตลอดนี่เอง ที่ไปทำให้เกิดการคันขึ้น และอาการคันก็จะเกิดการเคลื่อนที่ไปด้วย เรียกได้ว่า คันไม่หยุดไม่หย่อน เพราะไม่ได้มีพยาธิตัวเดียว มีเป็นร้อยๆ พันๆ ตัว แรกๆ ก็คันในช่องคลอด พอก่อการระคายเคืองมากเข้า สารคัดหลั่งในช่องคลอดก็จะออกมามาก ก็จะไหลออกมาปนเปื้อนปากช่องคลอด ทีนี้ก็เลยยิ่งคันไปใหญ่ เพราะบริเวณปากช่องคลอดมีประสาทมาเลี้ยงมาก (มากกว่าช่องคลอดมากมาย) ทีนี้ก็เลยคันกันมโหฬาร เคยพบคนไข้ที่ห้องตรวจผู้ป่วยนอก มาด้วยมีไข้สูง ปัสสาวะแสบ คัด มีแผลแสบคันที่ปากช่องคลอด ตรวจพบว่า เป็นช่องคลอดและปากช่องคลอดอักเสบจากเชื้อพยาธิ ที่เรียกว่า ทิคโคโมนาส (Trichomonas) ผู้ป่วยไปซื้อหายาเหน็บช่องคลอดสำหรับเชื้อรามาใช้ หนึ่งสัปดาห์อาการคันมากขึ้น เกาจนเกิดแผล และก็มีเชื้อแบคทีเรียมารุม ทำให้เกิดการอักเสบที่จุดซ่อนเร้นจนแสบร้อน ปัสสาวะปวดแสบมาก ทำให้เกิดการอั้นกลั้นปัสสาวะโดยไม่รู้ตัว ทำให้เกิดทางเดินปัสสาวะอักเสบ ลามไปกรวยไต ทำให้มีไข้สูง ต้องรับตัวไว้ในโรงพยาบาล เป็นเรื่องใหญ่โตไป ทั้งๆ ที่การรักษาตกขาวคันจากเชื้อพยาธิ (ทิคโคโมนาส) ไม่ยุ่งยาก ใช้ยาทานเพียงครั้งเดียว ก็สามารถที่จะรักษาได้ ดังนั้นในคุณผู้หญิงที่ตกขาวคัน อย่านึกว่าเป็นเชื้อราเสมอไป ควรที่จะไปพบแพทย์ แพทย์เพียงเห็นตกขาว ก็อาจจะให้การพิเคราะห์แยกโรคได้ เพราะตกขาวในโรคนี้ มักจะเป็นตกขาวที่มีฟองที่เกิดจากการโบกพัดของหางของพยาธิ แต่การวินิจฉัยโรค ก็เพียงเอาตกขาวมาส่องดูด้วยกล้องจุลทรรศน์ที่มีอยู่ในห้องตรวจ ก็จะเห็นตัวพยาธิทิคโคโมนาสวิ่งไปมา ระบบไตกับระบบสืบพันธุ์ของคุณผู้หญิงนั้นอยู่ใก้ลชิดติดกัน (ปากช่องปัสสาวะอยู่ส่วนบนของปากช่องคลอด) ดังนั้น การติดเชื้อในช่องคลอดหรือปากช่องคลอด อาจจะนำไปสู่การอักเสบลุกลามไปที่ระบบขับถ่ายปัสสาวะหรือไตได้ จึงต้องดูแลจุดซ่อนเร้นนี้ให้ดี เคยมีผู้ป่วยเป็นหญิงวัยรุ่น มาด้วยมีการอักเสบรุนแรงในช่องท้อง (Peritonitis) ต้องนอนโรงพยาบาลให้ยาเข้าเส้นเป็นเดือน สาเหตุจากการเริ่มต้นที่ตกขาวมีกลิ่น แล้วรักษาซื้อยามาเหน็บมาทานเอง ปล่อยจนการอักเสบลุกลาม ผ่านปากมดลูกเข้าโพรงมดลูก และหนองไหลย้อนกลับเข้าไปในช่องท้อง ก่อการอักเสบรุนแรงไปทั่ว จนเริ่มอาการของช็อก แพทย์รีบรับไว้ในโรงพยาบาล ตรวจพบจากการย้อมเชื้อในตกขาวช่องคลอด มีเชื้อหนองใน (Neisseria gonorrhoea) ร่วมอยู่ด้วย ซึ่งเชื้อหนองในนี้เป็นเชื้อที่อันตราย ทำให้เกิดการอักเสบลุกลามได้ไวและรุนแรง จะทำให้เกิดผลแทรกซ้อนหลังรักษาหาย คือเป็นหมันหรือมีบุตรยาก ตกขาวกับมะเร็ง มะเร็งที่จะทำให้เกิดมีตกขาวนั้นไม่สัมพันธ์กัน ดังนั้นคุณผู้หญิง แม้จะไม่มีตกขาวผิดปกติ ก็ไม่ได้หมายความว่า จะไม่เป็นมะเร็งของอวัยวะสืบพันธุ์ภายใน เช่น มะเร็งปากมดลูก ซึ่งเป็นมะเร็งที่พบมากที่สุดในบรรดามะเร็งของอวัยวะสืบพันธุ์สตรี รองมาก็มะเร็งรังไข่และมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก คุณผู้หญิงต้องไปตรวจคัดกรองตามที่หมอแนะนำ จึงจะป้องกันหรือเป็นการตรวจเพื่อค้นหามะเร็งระยะแรกๆ ซึ่งมักจะรักษาหายขาด ในบรรดามะเร็งของอวัยวะสืบพันธุ์สตรีนั้น ถ้ามีอาการแล้ว ส่วนใหญ่จะเป็นลักษณะของตกขาวที่มีเลือดปนออกมากับตกขาว หรือไม่ก็จะเป็นการตกเลือดออกมาเลย เช่น ในเนื้องอกของปากมดลูกหรือมะเร็งปากมดลูก มักจะพบว่า มีตกขาวปนเลือดออกมาหลังมีเพศสัมพันธ์ ทั้งนี้เพราะทำให้เกิดการฉีกขาดของเส้นเลือดในเนื้อเยื่อมะเร็งที่เปราะบางกว่าปกติขณะมีเพศสัมพันธ์ ดังนั้น ถ้ามีอาการตกขาวปนเลือดหรือมีเลือดออกหลังมีเพศสัมพันธ์แล้ว อย่านิ่งนอนใจ ควรรีบไปพบแพทย์โดยเร็ว ในกรณีที่มีตกขาวมีกลิ่นเหม็นเหมือนกลิ่นเน่า มักจะพบในมะเร็งปากมดลูกที่เป็นมากแล้ว จนเนื้อมะเร็งโตจนเลือดมาเลี้ยงไม่ทัน เกิดเนื้อเยื่อตาย และเกิดการย่อยสลายโดยแบคทีเรียในช่องคลอด เกิดกลิ่นดังว่า อาการตกขาวใสๆ และมีเลือดปนจางๆ นั้น มักจะพบในมะเร็งของท่อนำไข่ ซึ่งเป็นโรคเนื้องอก (มะเร็ง) ที่พบน้อย แต่คุณผู้หญิงก็ควรจะหมั่นสังเกต เพราะเป็นโรคที่ตรวจพบยาก กว่าจะมีอาการให้ตรวจพบก็สายไป การสังเกตตกขาวที่ผิดปกติมีเลือดปนดังกล่าว แล้วรีบมาพบแพทย์ ก็จะช่วยให้พบโรคระยะแรกๆ ซึ่งโอกาสรักษาหายขาดสูง ในเนื้องอกหรือมะเร็งของเยื่อบุโพรงมดลูก มักจะมาด้วยตกเลือดมากกว่าตกขาว โดยมากจะมีเลือดออกกะปริบกะปรอย ที่ไม่แน่นอน และปริมาณก็ไม่แน่นอน อาจจะมากหรือกะปริบกะปรอยดังกล่าว ซึ่งถ้าเป็นในคุณผู้หญิงที่อายุมากกว่า 35 ปี แพทย์มักจะดูดเอาเนื้อเยื่อบุโพรงมดลูกไปตรวจ เพื่อหาสาเหตุของการตกเลือด ว่ามีมะเร็งหรือไม่ ซึ่งสมัยก่อนต้องขูดมดลูกให้ยาหลับหรือยาสลบ แต่ปัจจุบันมีเครื่องมือขนาดเล็กที่สามารถจะสอดใส่เข้าโพรงมดลูก ดูดเอาเนื้อเยื่อบุโพรงมดลูกออกมา โดยไม่ต้องพักค้างในโรงพยาบาล สามารถทำหัตถการที่ห้องตรวจผู้ป่วยนอกได้ แม้ตกขาวจะเป็นเรื่องที่คุณผู้หญิงต้องผจญกันมาตลอด เป็นสิ่งที่ต้องเรียนรู้ว่าปกติหรือผิดปกติ ถ้าผิดปกติก็ควรจะต้องไปพบแพทย์ ไม่ควรที่จะปล่อยปละละเลยหรือดูแลรักษาเอง อาจจะเกิดผลร้ายต่อร่างกายอย่างคาดไม่ถึง ภาพประกอบจาก ด.ญ.รักษา ศิริจันทรา นพ.วีระ สุรเศรณีวงศ์
|
|
|
|
|
|