|
ถ้าต้องการให้ลูกพูดได้เร็วขึ้น จะมีวิธีช่วยสนับสนุนเขาอย่างไรบ้างคะ |
|
|
|
Written by Administrator
|
Friday, 26 February 2010 |
ถ้าต้องการให้ลูกพูดได้เร็วขึ้น จะมีวิธีช่วยสนับสนุนเขาอย่างไรบ้างคะ การให้ลูกฟังเพลงหรือฟังภาษาตั้งแต่ในท้องช่วยได้มากไหมคะ แล้วอายุเท่าไหร่ที่จะเหมาะสอนเขาเรื่องการพูด การใช้ภาษา แนะนำทีค่ะ
“เด็กจะมีการเรียนรู้ภาษาตั้งแต่อยู่ในท้องแม่แล้ว โดยเด็กจะเริ่มได้ยินเสียงโดยเฉพาะในช่วง 3 เดือนก่อนที่จะคลอดออกมา ซึ่งเด็กจะเริ่มรับรู้สิ่งแวดล้อมภายนอก สังเกตจากการที่เด็กมีการตอบสนอง เช่น เมื่อได้ยินเสียงคุณแม่พูดบ่อยๆ เขาจะสนใจ พอเขาคลอดออกมาจากท้องแม่ เขาก็จะสนใจเสียงของแม่มากกว่า
...และเมื่อเขาคลอดออกมา ในช่วงเดือนแรก เด็กจะสื่อความหายโดยไม่เฉพาะเจาะจง โดยการร้องไห้ ร้องไปเรื่อย หิวก็ร้อง แฉะเปียกชื้น อยากให้กอดก็ร้อง แต่ยังไม่สามารถที่จะบอกถึงความต้องการได้ ต่อมา เด็กจะพัฒนาเสียงร้องที่ค่อนข้างจะจำเพาะเจาะจง มีความไว แล้วก็ใส่ใจว่าร้องอย่างนี้ อาจจะหมายถึงให้เรากอด ร้องแบบนี้ไม่ใช่เฉพาะหิวอย่างเดียว
...หลังจากนั้นเด็กจะเริ่มเปล่งเสียงเป็นพยัญชนะ ทำให้เรียนรู้ที่จะพูด ซึ่งเด็กจะเข้าใจความหมายง่ายๆ ที่พ่อแม่สื่อกับเขา การพูดคุยกับเขามีส่วนช่วยในการกระตุ้นพัฒนาการด้านภาษาให้เขาอย่างมาก พ่อแม่ควรคุยกับเขา จ้องมอง สบตา ยิ้ม เหล่านี้เป็นการกระตุ้นการสื่อสารที่ดี เพราะการสื่อสารไม่ใช่แค่ภาษา เป็นการสื่อความหมายที่มีการใช้สัญลักษณ์ด้วย เพื่อถ่ายทอดความคิด การแสดงออก ความรู้สึกออกมา
…จากนั้นพัฒนาการด้านภาษาของเด็กวัย 7 - 9 เดือนนั้น เสียงพยัญชนะที่เขาพูด เขาจะเปล่งเสียงซ้ำๆ กันได้ แต่ยังไม่มีความหมายครับ เช่น เขาอาจจะพูดว่า มา...มา แต่เขายังไม่รู้ว่า เสียงที่เขาเปล่งนั้น มีความหมายว่าอย่างไร ยังต้องเรียนรู้จากพ่อแม่ผู้ใกล้ชิดที่จะช่วยตอบสนองเขา นี่คือพัฒนาการของเด็กตอนอายุ 7 – 8 เดือน หลังจากนั้นจะเริ่มเข้าใจคำง่ายๆ ก่อน แต่ยังไม่สามารถพูดออกมาได้ชัดเจน และมักจะแสดงท่าทางประกอบด้วย
...พออายุสัก 8 - 9 เดือน เขาจึงเริ่มสามารถเปล่งเสียงออกมาเพื่อเรียกร้องความสนใจ ถ้าสมมติว่า เขาเรียกว่า มะม้า ปะป๊า เขาจะเชื่อมโยงได้ว่า เรียกอย่างนี้น่าจะหมายถึงแม่ หมายถึงพ่อ ทำเสียงอย่างนี้คุณแม่จะเอานมมาให้เขา พ่อแม่คนใกล้ชิดจึงควรสอนเด็กพูดช้าๆ พูดคำง่ายกับเขา เขาจะได้เรียนรู้คำศัพท์ ซึ่งจะเป็นพื้นฐานที่เขาจะพูดได้คล่องขึ้นในภายหลัง จนช่วงประมาณอายุ 10 เดือนถึง 1 ปี เขาจะเริ่มเลียนเสียงของตัวเองได้ถนัดขึ้น และพูดออกมาเป็นคำที่มีความหมายได้ชัดเจนมากขึ้น พัฒนาการด้านภาษาของเด็กจึงเป็นตามลำดับขั้นตอน”
ลูกน้ำหว้าค่อนข้างซนมากเลยค่ะ ไม่ค่อยอยู่นิ่ง ชอบร้อง และดื้อมาก คุณแม่กังวลว่าน้ำหว้าจะเป็นเด็กเอาแต่ใจ อยากช่วยลูกน้ำหว้าค่ะ ต้องทำอย่างไรบ้างคะคุณหมอ
“เราพบว่า เด็กถูกพัฒนาความเป็นตัวของตัวเอง เริ่มจากการเป็นเด็กที่เอาแต่พึ่งพ่อแม่ พูดได้แล้ว คล่องแคล่ว ก็เริ่มไม่ต้องพึ่งพ่อแม่ พ่อแม่จึงควรปรับทัศนคติ ต้องเข้าใจด้วยว่า วัยนี้เป็นวัยของความดื้อ เป็นวัยของความซน พ่อแม่ที่มีลูกทุกคนจะต้องพบเจอช่วงเวลานี้ ซึ่งเป็นช่วงพัฒนาการของเขา ความรู้สึกของแม่ไม่ควรเป็นเชิงลบ ว่าลูกไม่น่ารัก ลูกซน ควรปรับทัศนคติเป็นเชิงบวก เข้าใจเขาว่า ช่วงนี้เป็นพัฒนาการตามวัย ถ้าเราดูแลได้อย่างเหมาะสมให้ผ่านพ้นช่วงนี้ไป เขาก็จะเป็นเด็กน่ารักเหมือนเดิม
…ดังนั้น พ่อแม่จึงต้องเข้าใจพัฒนาการของเด็ก ว่าวัยนี้เป็นวัยที่เด็กพัฒนาความเป็นตัวของตัวเอง เราจะไปห้ามปราม ไม่เปิดโอกาสให้เขาได้ลองอะไรเลย ก็ยิ่งทำให้เขาขัดขืนใจ เราต้องมีวิธีการดูแลที่เหมาะสมต่อเด็กที่ดื้อ หรือที่เอาแต่ใจมากเกินไป ถ้าเราไม่มีขอบเขตตามใจ สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ การที่เด็กคนหนึ่งทำทุกอย่างได้ตามใจ เด็กก็จะไม่เคยได้รับการฝึกให้ใช้ชีวิตที่อยู่ในกฎกติกา อยากได้อะไรก็ได้ ไม่รู้จักการรอคอย การที่ลูกไปเล่นกับเพื่อน แล้วลูกไม่เคยฝึกการรอคอยเลย พอเข้าอนุบาลก็จะไปแย่งดึงของคนอื่น เป็นเด็กที่เพื่อนไม่ต้องการ ไม่เป็นที่ยอมรับ เป็นเด็กที่โตขึ้นไม่น่ารัก พอปลูกฝังนิสัยนี้ต่อไป เขาก็จะเป็นผู้ใหญ่ที่ไม่รู้จักอดทน ไม่รู้จักควบคุมตัวเอง พอลำบากก็ไม่เอา อาจจะต้องมีคนคอยห้อมล้อมคอยเอาใจ อะไรพวกนี้ ทำให้เด็กไม่มีภูมิต้านทาน ไม่มีทักษะในการดดำรงชีวิต เอาตัวเองเป็นศูนย์กลางอย่างเดียว เด็กก็จะปรับตัวยากในสังคม ถึงแม้เราจะรู้ว่าเด็กมีพัฒนาการตามวัย แต่เราก็ต้องรู้ว่าเราจะวิธีที่จะปรับเปลี่ยนเขาอย่างไร”
นพ.มงคล เงินหลั่งทวี
กุมารแพทย์
|
ลูกยังเล็กอยู่ จะให้ยาลดน้ำมูกเวลาเขาเป็นหวัด มีน้ำมูกได้หรือเปล่าคะ กลัวให้เขาทานแล้วจะมีผลข้างเคียงค่ะ ยาละลายเสมหะก็ด้วย ให้เขาทานได้ไหมคะ
“ไม่อยากแนะนำให้คุณแม่ใช้ยาลดน้ำมูกในเด็กที่อายุน้อยกว่า 6 เดือนครับ เพราะยาพวกนี้จะทำให้เสมหะแห้งเหนียว เวลาเขาไอ ก็จะไอไม่ค่อยดีนัก แนะนำให้ใช้ลูกยางแดงดูดน้ำมูกให้เขาจะดีกว่าครับ ลูกยางแดงนี้ยังสามารถใช้ดูดเสมหะในคอได้ด้วย หรือคุณแม่จะใช้ผ้านิ่มๆ พันไม้ ช่วยซับน้ำมูกให้เขาก็ได้
...แต่ถ้าลูกมีอายุ 6 เดือนขึ้น ก็สามารถให้ยาลดน้ำมูกได้ครับ พร้อมทั้งให้ยาละลายเสมหะเมื่อเขามีอาการไอ และถ้าสังเกตว่าลูกรู้สึกแน่นหน้าอก คัดจมูก ก็ใช้ยาหยอดจมูกได้ แต่ไม่ควรหยอดติดต่อกันนานเกิน 4 – 6 วันครับ สำหรับเด็กโต คุณแม่อาจให้เขาสั่งน้ำมูกเบาๆ ก็ช่วยได้
...อย่างไรก็ดี ถ้าสังเกตว่าลูกมีน้ำมูกและมีอาการไอ เป็นไข้ ติดกันหลายวัน โดยเฉพาะน้ำมูก ถ้าเหนียว เป็นสีเขียวข้น ควรรีบพาเขามาแพทย์ครับ เพื่อให้แพทย์ตรวจ และให้การรักษาต่อไปครับ”
มีวิธีช่วยลูกเวลาอาเจียนอย่างไรบ้างคะ หลายครั้งเขาชอบอาเจียนเอาอาหารที่เพิ่งทานออกมา ขอบคุณค่ะ
“ถ้าเห็นว่าลูกอาเจียน คุณแม่ควรตรวจสอบสิ่งที่ลูกอาเจียนเอาออกมาก่อนครับ จากนั้นดูว่ามีเสมหะติดมาหรือไม่ และเป็นการอาเจียนแบบไหน พุ่งหรือไม่พุ่ง เพราะลักษณะอาเจียนต่างๆ จะช่วยวินิจฉัยโรคได้ว่าเกิดจากสาเหตุอะไร ควรสังเกตด้วยว่าเขาอาเจียนบ่อยและมากแค่ไหน ขนาดว่าทานอาหารหรือน้ำได้หรือไม่ มีอาการซึมหรือไม่ ปากแห้งหรือไม่ ตาโหลหรือไม่ เป็นต้น ถ้าเห็นว่าหนัก ก็ควรพาเขามาพบแพทย์ เพื่อให้แพทย์ตรวจ ถ้าไม่มาก คุณแม่ก็อาจดูแลเองได้ โดยให้เขาทานอาหารอ่อนๆ ย่อยง่าย ป้อนให้เขาทานทีละน้อย และให้เขาจิบน้ำเกลือแร่ เพื่อทดแทนเกลือแร่ที่ไปเสียไป”
ขอขอบคุณ โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ ประชาชื่น
โทร.0-2910-1600
Related items
|
|
|
|
|
|