ตรวจคัดกรองการได้ยิน จำเป็นจริงหรือ? |
|
|
|
Written by Administrator
|
Wednesday, 03 March 2010 |
มีเด็กจำนวนไม่น้อยที่มีปัญหาเรื่องการได้ยินตั้งแต่แรกเกิด
และเด็กที่มีปัญหาเรื่องการได้ยินก็นำไปสู่ปัญหาด้านการพูด คือ เด็กจะพูดช้า
หรือพูดไม่ได้ ตามโรงพยาบาลหลายแห่งจึงได้มีบริการการตรวจคัดกรองหาความผิดปกติตั้งแต่แรกคลอด
เพื่อที่จะนำไปสู่หนทางรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ
ตรวจคัดกรองการได้ยิน
คือ
การตรวจหาเด็กที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน ซึ่งสามารถตรวจได้ตั้งแต่แรกเกิด และในเด็กที่มีกลุ่มเสี่ยง
แพทย์จะพิจารณาให้ตรวจคัดกรองการได้ยิน แต่เด็กที่ไม่ได้อยู่ในภาวะเสี่ยงก็ขึ้นอยู่กับความสมัครใจของพ่อแม่ค่ะ
เด็กกลุ่มเสี่ยง
คือ พิจารณาจากแม่ที่ได้รับเชื้อตอนตั้งครรภ์ เช่น
เชื้อหัดเยอรมัน ไวรัสบางชนิด เยื่อหุ้มสมองอักเสบ
หรือคุณแม่ที่ได้รับยาระหว่างตั้งครรภ์ และพิจารณาจากเด็กที่คลอดก่อนกำหนด
ขาดออกซิเจนขณะทำคลอด คลอดออกมามีลักษณะของรูปร่างหน้าตาที่ผิดปกติ น้ำหนักตัวน้อย
และยังต้องพิจารณาจากพันธุกรรมและประวัติครอบครัวด้วย
ได้อะไรบ้างจากการตรวจคัดกรอง
จากสถิติของการตรวจคัดกรองเด็กแรกเกิดที่ได้รับการตรวจคัดกรอง
จะพบว่ามีประมาณ 3% ที่ตรวจคัดกรองไม่ผ่าน แต่ไม่ได้หมายความว่าเด็กที่ตรวจคัดกรองไม่ผ่านนั้น
จะมีความผิดปกติทางการได้ยิน เพราะฉะนั้น
แพทย์จึงต้องนำเด็กที่ตรวจคัดกรองไม่ผ่านมาตรวจหาความผิดปกติทางการได้ยิน ซึ่งจะพบความผิดปกติจริงๆ
เพียง 1ใน 1,000 คน ส่วนในเด็กกลุ่มเสี่ยงจะพบความผิดปกติ 1-3 ใน 100 คนที่พบความผิดปกติจริงๆ
การตรวจคัดกรอง
มี 2 วิธีคือ
1.การตรวจเพื่อวัดการทำงานของหูชั้นใน
การวัดอวัยวะของหูชั้นใน จะง่าย และใช้เวลาน้อยกว่า
2. การตรวจโดยวัดการทำงานของประสาทหู
ซึ่งอันหลังจะครอบคลุมมากว่า เครื่องมือที่ต้องใช้ในการตรวจ จะยุ่งยากมากขึ้น
การรักษา
อย่างที่ทราบว่าเด็กที่มีปัญหาเรื่องการได้ยิน
จะทำให้มีผลต่อพัฒนาการด้านภาษา เด็กจะพูดไม่ได้
การที่พ่อแม่ให้เด็กได้รับการตรวจตั้งแต่แรกเกิด
ก็จะได้รับการฟื้นฟูเรื่องการได้ยินตั้งแต่แรกเกิด
ซึ่งจะช่วยในด้านพัฒนาการเรื่องการได้ยินและภาษาพูด แต่จะต้องตรวจพบก่อนตั้งแต่ 6 เดือนถึงจะได้ผลดี
ซึ่งถือเป็นข้อดีของการตรวจที่เราสามารถแก้ไขได้เร็วขึ้น
แสดงแบบโดย ด.ช.พบธรรม มณีนพรัตน์ และคุณแม่
|
ความผิดปกติทางการได้ยิน สังเกตเมื่อใด
อย่างไร
- ตรวจคัดกรองการได้ยินตั้งแต่แรกเกิด ซึ่งจะทราบผลเบื้องต้น
และการทราบตั้งแต่เนิ่นๆ จะได้หาทางรักษาได้ทัน โดยเฉพาะก่อน 6 เดือนแรก
- สังเกตจากการตอบสนองต่อเสียง ในเด็กแรกเกิดทุกคนจะมีการตอบสนองต่อเสียงที่ดังๆ
เช่น ตกใจร้อง หันหาเสียง แต่ก็ยังสังเกตได้ไม่มาก
- เด็กจะหันหาเสียงหรือตอบสนองจริงๆ คือ อายุประมาณ 6 เดือน
และมีปฏิสัมพันธ์โต้ตอบ มีการตอบสนองกับพ่อแม่ เมื่อมีการเล่นหยอกล้อกัน
แต่ถ้าอายุประมาณ 7-8 เดือน เด็กไม่มีการตอบสนองใดๆ
เลยต้องสันนิษฐานว่าผิดปกติไว้ก่อนและต้องได้รับการตรวจ
- เด็กที่อายุประมาณ 1 ขวบกว่าแล้วยังไม่พูดเลย ถือว่าผิดปติ
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นความผิดปกติที่เด็กไม่พูดอาจจะมาจากสาเหตุอย่างอื่นที่ไม่ได้มาจากหูที่ผิดปกติ
เช่น อาจจะมาจากการเลี้ยงดูที่ได้รับการกระตุ้นน้อย แต่ 50% ของเด็กที่ไม่พูดมาจากความผิดปกติทางหู
อีก 30% มาจากสภาพแวดล้อม การเลี้ยงดู และ 20% มาจากการขาดการกระตุ้น
เมื่อคุณแม่ต้องการที่จะมีบุตร
ควรจะมีการวางแผนก่อนเพื่อเตรียมร่างกายให้พร้อม ตรวจร่างกายก่อนการตั้งครรภ์
ว่าคุณแม่มีโรคร้ายแรงหรือโรคประจำตัวหรือไม่ เพราะโรคบางอย่างจะส่งผลต่อตัวเด็ก
ถ้าทราบก่อนจะได้หาทางป้องกันแก้ไขได้ และควรปฏิบัติตัวตามคำสั่งแพทย์อย่างเคร่งครัด
่
ขอขอบคุณ แพทย์หญิงสาวิตรี ชลออยู่
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการได้ยิน โรงพยาบาลเด็กสมิติเวช ศรีนครินทร์
|
Last Updated ( Wednesday, 03 March 2010 )
|