เมื่อเจ้าตัวน้อยต้องมาดมยาสลบ |
Written by Administrator
|
Monday, 19 January 2015 |
“การดมยาสลบในเด็กนั้นอาจจะมีความเสี่ยงมากกว่าผู้ใหญ่ เนื่องจากอวัยวะต่างๆ ของเด็กนั้นยังมีการเจริญเติบโตที่ไม่เต็มที่ มีทางเดินหายใจที่เล็กและบอบบางและไม่สามารถทนต่อภาวะขาดออกซิเจนได้นานเท่าผู้ใหญ่”
คุณพ่อคุณแม่คงมีความวิตกกังวลไม่มากก็น้อย เมื่อเจ้าตัวเล็กมีความจำเป็นต้องเข้าห้องผ่าตัด ซึ่งโดยส่วนใหญ่นั้นก็มักจะต้องมีการดมยาสลบร่วมด้วย เนื่องจากเจ้าตัวเล็กคงไม่ยอมอยู่นิ่งๆ ให้คุณหมอได้ทำหัตถการหรือทำการผ่าตัดใดๆ ในขณะที่ยังตื่นอยู่อย่างแน่นอน นอกจากนี้การที่ต้องอยู่กับบุคคลแปลกหน้าในบรรยากาศของห้องผ่าตัดก็อาจทำให้เด็กรู้สึกหวาดกลัวมากได้ จึงทำให้คุณหมอมีความจำเป็นต้องเลือกใช้วิธีการดมยาสลบโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กเล็กๆ
มากหมอฯ ฉบับนี้จะช่วยให้คุณพ่อคุณแม่ได้มองเห็นภาพเหตุการณ์ดังกล่าวล่วงหน้า รวมถึงมีความรู้ความเข้าใจที่เพิ่มขึ้นซึ่งจะช่วยให้คลายความวิตกกังวลลงไปได้ โดยแพทย์หญิงศิวนันท์ พุทธะไชยทัศน์ ได้ให้ข้อมูลความรู้ว่า
ใครคือบุคคลที่จะดูแลลูกน้อยระหว่างการผ่าตัดและการดมยาสลบ
“คุณหมอวิสัญญีและคุณพยาบาลวิสัญญีจะเป็นผู้ทำหน้าที่ในการวางยาสลบ และดูแลลูกน้อยตลอดเวลาที่อยู่ภายในห้องผ่าตัด รวมถึงห้องพักฟื้นในช่วงหลังผ่าตัด โดยมีการประสานงานกันกับทีมของคุณหมอผ่าตัดอย่างใกล้ชิด
...โดยปกติแล้วคุณหมอวิสัญญีจะทำหน้าที่ให้ยาระงับความรู้สึกทั้งแบบสลบไม่รู้สึกตัว และการให้ยาชาเฉพาะส่วนแก่ผู้ป่วยที่มารับการผ่าตัด
...นอกจากนี้คุณหมอวิสัญญียังช่วยดูแลในเรื่องของการให้ยาระงับอาการปวดที่เกิดขึ้นเนื่องจากการผ่าตัดด้วย”
การดมยาสลบในเด็กมีความเสี่ยงมากน้อยอย่างไร
“การดมยาสลบในเด็กนั้นอาจจะมีความเสี่ยงมากกว่าผู้ใหญ่ เนื่องจากอวัยวะต่างๆ ของเด็กนั้นยังมีการเจริญเติบโตที่ไม่เต็มที่ มีทางเดินหายใจที่เล็กและบอบบางและไม่สามารถทนต่อภาวะขาดออกซิเจนได้นานเท่าผู้ใหญ่ จึงต้องระมัดระวังทั้งการเลือกชนิด วิธีการและขนาดของยาดมสลบ ยิ่งเด็กมีอายุน้อยลงหรือเป็นทารกก็จะมีความเสี่ยงที่เพิ่มมากขึ้น
...นอกจากนี้ความเสี่ยงอาจขึ้นอยู่กับชนิดของการผ่าตัดด้วย ว่าเป็นการผ่าตัดใหญ่หรือผ่าตัดเล็ก เกี่ยวข้องกับอวัยวะสำคัญหรือมีการเสียเลือดมากน้อยเพียงใด การผ่าตัดบริเวณที่มีหลอดเลือดมาเลี้ยงเยอะหรือการผ่าตัดที่มีการเสียเลือดและต้องมีการให้เลือดทดแทนก็จะมีความเสี่ยงที่มากกว่า ตัวอย่างเช่น การผ่าตัดสมอง ช่องอก และช่องท้อง ย่อมจะมีความเสี่ยงมากกว่าการผ่าตัดบริเวณผิวหนังภายนอก การผ่าตัดแบบฉุกเฉินก็จะมีความเสี่ยงที่สูงกว่าเมื่อเทียบกับการผ่าตัดแบบเตรียมตัวที่รู้วันและเวลาล่วงหน้า
...แต่อย่างไรก็ตาม คุณพ่อคุณแม่สามารถคลายความวิตกกังวลและมั่นใจในความปลอดภัยได้ เมื่อมีการเตรียมความพร้อมของการดมยาสลบที่ดี และอยู่ภายใต้การดูแลของทีมวิสัญญีแพทย์และวิสัญญีพยาบาล ซึ่งจะดูแลลูกน้อยขณะดมยาสลบอย่างเต็มที่แทนคุณพ่อคุณแม่ในช่วงเวลาดังกล่าว รวมถึงในปัจจุบันก็มีเครื่องมือและอุปกรณ์ที่ทันสมัยต่างๆ มาช่วยให้การดมยาสลบมีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้นด้วย หากคุณพ่อคุณแม่ยังมีข้อสงสัยใดๆ ก็สามารถสอบถามคุณหมอวิสัญญีที่ดูแลลูกน้อยได้ตลอดเวลาค่ะ
ประวัติสำคัญที่คุณพ่อคุณแม่ควรเตรียมไว้ให้คุณหมอมีอะไรบ้าง
“1. ประวัติโรคประจำตัว ความรุนแรงของโรคว่ามากน้อยเพียงใด รับประทานยาอะไรอยู่บ้างในตอนนี้ รวมถึงประวัติการเจ็บป่วยที่สำคัญในอดีต 2.ประวัติการแพ้ยาและแพ้อาหารต่างๆ เพื่อหลีกเลี่ยงยาที่อาจก่อให้เกิดอาการแพ้ 3.ประวัติเกี่ยวกับการดมยาสลบครั้งที่ผ่านมา มีภาวะแทรกซ้อนใดๆ หรือไม่ ถ้ามีควรแจ้งโดยละเอียดรวมถึงประวัติการแพ้ยาดมสลบของบุคคลในครอบครัว
…4.น้ำหนักตัว ส่วนสูง มีฟันโยกคลอนหรือไม่ ถ้าลูกน้อยมีภาวะอ้วนผิดปกติ อาจต้องบอกประวัติเรื่องการนอนกรน การหยุดหายใจขณะนอนหลับด้วย 5.เป็นไข้หวัด ไอ มีเสมหะหรือมีการอักเสบของทางเดินหายใจใดๆ หรือไม่ (ภายใน 1 เดือนที่ผ่านมา) ถ้ามีควรแจ้งระยะเวลาที่เป็น ถ้าอาการหายแล้วควรแจ้งว่าหายมานานเท่าไร เนื่องจากสิ่งเหล่านี้อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการดมยาสลบ ทำให้ต้องอยู่โรงพยาบาลนานขึ้น หรือต้องเลื่อนการผ่าตัดออกไป
…6. ประวัติการเมารถ เมาเรือ เพื่อเลือกวิธีดมยาสลบที่จะป้องกันและลดอาการคลื่นไส้อาเจียนหลังการดมยาสลบ 7. เวลาเมื่อรับประทานอาหารมื้อล่าสุด รวมถึงชนิดของอาหารและน้ำที่รับประทาน เพื่อกำหนดระยะเวลาในการงดน้ำงดอาหารก่อนผ่าตัด และยังมีความสำคัญต่อการเลือกวิธีของการดมยาสลบด้วย”
ทำไมจึงควรงดน้ำงดอาหารก่อนการผ่าตัด
“การงดน้ำงดอาหารมีเป้าหมายเพื่อลดปริมาณของอาหารที่คงค้างในกระเพาะให้เหลือน้อยที่สุด เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนจากการสูดสำลักอาหารเข้าหลอดลมและปอด ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้เมื่อต้องมารับบริการทางวิสัญญี ทั้งการดมยาสลบแบบหลับไม่รู้สึกตัว และการให้ยาชาเฉพาะส่วน ดังนั้นจึงมีความจำเป็นต้องงดน้ำงดอาหารก่อนผ่าตัดในผู้ป่วยเด็กทุกราย จะยกเว้นเฉพาะในกรณีที่ฉุกเฉินมากๆ ซึ่งไม่สามารถรอเวลางดน้ำงดอาหารได้เท่านั้น แต่คุณพ่อคุณแม่ก็ไม่ต้องวิตกกังวลเพราะจะมีเทคนิคในการดมยาแบบพิเศษ เพื่อลดความเสี่ยงต่อการสำลักอาหารในกรณีดังกล่าวได้เช่นกัน
...โดยทั่วไป เพื่อความปลอดภัย คุณหมอจะงดอาหารและน้ำก่อนผ่าตัดประมาณ 4 - 8 ชั่วโมง ตามอายุของเด็กและตามชนิดของอาหารค่ะ การสูดสำลักอาหารเข้าปอดแม้จะเกิดได้น้อยแต่มีความรุนแรงมาก ทำให้เกิดปอดอักเสบ มีการแลกเปลี่ยนก๊าซในปอดที่ผิดปกติ ซึ่งอาจทำให้ลูกน้อยหายใจด้วยตัวเองได้ไม่สะดวก จึงมีความจำเป็นต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ ทำให้ต้องรักษาอยู่ในโรงพยาบาลนานขึ้น เสียค่าใช้จ่ายมากขึ้น และถ้าอาการรุนแรงมากอาจจะทำให้เสียชีวิตได้ จึงมีความสำคัญมากที่คุณพ่อคุณแม่ควรแจ้งคุณหมอตามความเป็นจริงโดยละเอียด และต้องงดน้ำงดอาหารจริงๆ ทั้งนี้รวมถึงลูกอมด้วยค่ะ
…ตัวอย่างชนิดอาหารและระยะเวลาที่ต้องงดก่อนผ่าตัด อาหารมื้อหลักหรืออาหารที่มีไขมันสูง ต้องงดก่อนผ่าตัด 8 ชั่วโมง อาหารอ่อน นมผงชง เครื่องดื่มผสมนม น้ำผลไม้ที่มีกาก ต้องงดก่อนผ่าตัด 6 ชั่วโมง นมแม่สำหรับเด็กอ่อน เด็กเล็ก ต้องดก่อนผ่าตัด 4 ชั่วโมง เครื่องดื่มเหลวใส เช่น น้ำเปล่า หวาน ต้องงดก่อนผ่าตัด 2 ชั่วโมง”
ก่อนการดมยาสลบ จะมีการเตรียมตัวอย่างไรบ้าง
“สำหรับการผ่าตัดที่มีการระบุวันและเวลาไว้ล่วงหน้า โดยส่วนใหญ่คุณหมอมักจะให้ลูกน้อยนอนพักในโรงพยาบาล 1 คืนก่อนผ่าตัด เพื่อจะได้ทำการประเมินผู้ป่วย และวางแผนการผ่าตัดและดมยาสลบสำหรับวันรุ่งขึ้น แต่ในบางครั้งสำหรับการผ่าตัดชนิดเล็กๆ ที่ไม่มีความเสี่ยงมากนัก คุณหมอก็อาจนัดให้คุณพ่อคุณแม่พาลูกน้อยมาโรงพยาบาลในตอนเช้าวันผ่าตัดได้เลย โดยงดน้ำงดอาหารก่อนมาโรงพยาบาล
...อาจมีการเจาะเลือดหรือตรวจวินิจฉัยต่างๆ เพื่อเตรียมการผ่าตัด มีการสั่งเตรียมเลือดในกรณีที่เป็นการผ่าตัดที่มีแนวโน้มที่จะเสียเลือดปริมาณมาก รวมถึงมีการเตรียมทำความสะอาดร่างกายบริเวณที่จะผ่าตัด
...เมื่อมีการสั่งงดน้ำงดอาหาร ก็จะมีการให้น้ำเกลือแก่ลูกน้อย เส้นน้ำเกลือนี้ก็จะเป็นทางหนึ่งในการให้ยาดมสลบจึงต้องพยายามรักษาให้ดี อย่าให้ลูกน้อยดึงหลุด เพราะจะทำให้ต้องถูกแทงน้ำเกลือซ้ำอีกครั้ง
…อาจมีการให้ยาช่วยให้เด็กเคลิ้มหลับในช่วงก่อนผ่าตัด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของคุณหมอวิสัญญี และขึ้นกับตัวลูกน้อยแต่ละคน
...ยาที่ลูกน้อยใช้ประจำ เช่น ยาพ่นหอบหืด ยากันชัก คุณหมออาจแนะนำให้รับประทานต่อ แต่ยาบางชนิดคุณหมออาจให้งดรับประทาน เช่น ยาละลายลิ่มเลือด จึงเป็นสิ่งสำคัญที่คุณพ่อคุณแม่ควรแจ้งชื่อยาให้คุณหมอทราบทุกครั้งค่ะ
...ก่อนการดมยาสลบทุกครั้ง คุณหมอวิสัญญีจะเข้ามาอธิบายถึงวิธีการดมยาสลบ ผลแทรกซ้อน การให้ยาระงับความเจ็บปวดและการดูแลลูกน้อยหลังจากฟื้นขึ้นมาจากยาดมสลบ ในช่วงเวลาดังกล่าวนี้คุณพ่อคุณแม่สามารถพูดคุยเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ไขปัญหาที่ข้องใจกับคุณหมอได้เลยค่ะ ทั้งนี้เพื่อให้คุณพ่อคุณแม่คลายความวิตกกังวลใจ มีความรู้ความเข้าใจ เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับลูกน้อยในเวลานี้ก็คือกำลังใจจากคุณพ่อคุณแม่หรือผู้ปกครอง ที่จะช่วยทำให้ลูกน้อยสามารถผ่านช่วงเวลาดังกล่าวไปได้อย่างราบรื่นค่ะ”
วิธีการดมยาสลบในเด็ก
“วิธีให้ยาสลบทางสายน้ำเกลือ โดยส่วนใหญ่จะมีการใส่สายน้ำเกลือก่อนเริ่มต้นดมยาสลบ แล้วให้ยาสลบทางเส้นน้ำเกลือ พร้อมๆ กับการให้ยาสลบทางหน้ากากร่วมด้วย
...วิธีให้ยาสลบทางหน้ากาก ในบางกรณีซึ่งไม่สามารถใส่สายน้ำเกลือก่อนได้ ก็จะเริ่มให้ยาสลบทางหน้ากากออกซิเจนไปก่อน จนเมื่อเด็กเคลิ้มหลับแล้ว ค่อยใส่สายน้ำเกลือเพื่อให้ยาต่อไป
...ก่อนการให้ยาสลบ จะมีการวัดสัญญาณชีพพื้นฐานโดยใช้เครื่องมือต่างๆ เช่น เครื่องวัดความดันโลหิต เครื่องวัดคลื่นไฟฟ้าหัวใจ เครื่องวัดออกซิเจนในเลือด หูฟังการเต้นของหัวใจและฟังการหายใจ เครื่องวัดอุณหภูมิของร่างกาย นอกจากนี้ในการผ่าตัดบริเวณลำตัวหรือแขนขา อาจมีการให้ยาชาเฉพาะส่วนร่วมด้วยเพื่อช่วยระงับปวดภายหลังการผ่าตัด โดยจะทำหัตถการดังกล่าวภายหลังจากเริ่มต้นดมยาสลบเด็กไปแล้ว ซึ่งมักจะมีการทำเฉพาะในโรงพยาบาลขนาดใหญ่ซึ่งมีวิสัญญีแพทย์เฉพาะทาง”
เมื่อถึงเวลาเข้าห้องผ่าตัด คุณพ่อคุณแม่ควรปฏิบัติตัวอย่างไร
“เมื่อลูกน้อยจะเข้าห้องผ่าตัด คุณหมอวิสัญญีมักจะอนุญาตให้ผู้ปกครองเด็ก 1 ท่าน เข้าไปส่งเด็กในห้องผ่าตัดด้วยได้ เพื่อลดความเครียดและความวิตกกังวลของเด็ก โดยต้องมีการสวมเสื้อคลุมของทางห้องผ่าตัดเข้าไป เมื่อมีการเริ่มต้นดมยาสลบเสร็จเรียบร้อย ก็จะให้ผู้ปกครองออกมารออยู่ภายนอกห้องผ่าตัด
...ควรมีผู้ปกครองรออยู่หน้าห้องผ่าตัด เพื่อสามารถติดต่อได้ทันทีกรณีที่มีเหตุการณ์ฉุกเฉินเกิดขึ้น หรือควรให้เบอร์โทรศัพท์ติดต่อไว้กับเจ้าหน้าที่ของห้องผ่าตัดทุกครั้ง ถ้าไม่สามารถรออยู่ได้
...เมื่อการผ่าตัดเสร็จสิ้นและไม่มีภาวะแทรกซ้อนใดๆ ลูกน้อยจะได้รับการติดตามดูอาการหลังผ่าตัดอย่างใกล้ชิดที่ห้องพักฟื้น (แต่ในบางโรงพยาบาลจะติดตามดูอาการในห้องไอซียู) เมื่อลูกน้อยฟื้นจากยาสลบดีแล้ว ทางเจ้าหน้าที่ก็จะเชิญคุณพ่อคุณแม่หรือผู้ปกครองเข้ามาร่วมดูแลเด็กในห้องพักฟื้นอีกครั้ง”
ภาวะแทรกซ้อนหลังจากการผ่าตัดและดมยาสลบ มีอะไรได้บ้าง
“ภาวะแทรกซ้อนที่อาจพบได้บ่อยแต่ไม่มีความรุนแรง เช่น คลื่นไส้อาเจียน เจ็บคอ ง่วงซึม ปวดเมื่อยตามตัว เสียงแหบ ฟันโยกหรือบิ่น หรือการเจ็บแผลที่มากกว่าปกติ ซึ่งคุณพ่อคุณแม่สามารถแจ้งคุณหมอเพื่อให้ยาระงับอาการดังกล่าวได้ค่ะ
...ส่วนภาวะแทรกซ้อนที่มีความรุนแรงเพิ่มขึ้น แต่พบได้ไม่บ่อย เช่น การเสียเลือดปริมาณมากจนเกิดภาวะช็อก การแพ้ยาต่างๆ ชีพจรเต้นผิดปกติหรือหยุดหายใจ การเฝ้าดูแลอย่างใกล้ชิดทำให้สามารถค้นพบภาวะดังกล่าวได้อย่างรวดเร็ว จึงทำให้สามารถแก้ไขภาวะดังกล่าวได้ทันท่วงทีค่ะ”
ควรดูแลลูกน้อยอย่างไร ในช่วงหลังผ่าตัด
“เฝ้าดูแลอย่างใกล้ชิด ในระยะแรกอาจมีการวัดความดันโลหิต หรือสัญญาณชีพบ่อยๆ หลังจากนั้นจะห่างขึ้นเป็นทุก 4 ชั่วโมง ถ้าสงสัยว่าลูกน้อยมีความผิดปกติใดๆ เกิดขึ้นควรแจ้งคุณพยาบาลที่ตึกผู้ป่วยทันที นอกจากนี้อาจให้ยาพาราเซตามอลเพื่อแก้ปวดตามอาการของลูกน้อย (กรณีที่คุณหมออนุญาตให้ทานน้ำได้แล้ว)
...ภายหลังการดมยาสลบทุกครั้งจะมีเจ้าหน้าที่วิสัญญีไปเยี่ยมผู้ป่วยอีกครั้ง ช่วงนี้ก็เป็นอีกช่วงเวลาหนึ่งซึ่งคุณพ่อคุณแม่สามารถซักถามข้อสงสัยหรือพูดคุยประเด็นต่างๆ กับทีมคุณหมอวิสัญญีซึ่งยินดีตอบทุกข้อข้องใจของคุณพ่อคุณแม่ค่ะ”
Profile
พญ.ศิวนันท์ พุทธะไชยทัศน์
วุฒิการศึกษา แพทยศาสตร์บัณฑิต มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
วุฒิบัตรผู้มีความรู้ความชำนาญสาขาวิสัญญีวิทยา
ประกาศนียบัตรอบรมหลักสูตรฝังเข็มของกระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับมหาวิทยาลัยแพทย์เซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน, ประกาศนียบัตรอบรมหลักสูตรคีเลชั่นบำบัด จากสมาคมแพทย์คีเลชั่นแห่งประเทศไทย
ผลงานวิจัย การลดอาการปวดหลังผ่าตัดมดลูกทางช่องท้องเมื่อให้ยา dextromethorphan ในช่วงก่อนผ่าตัด, บทความวิชาการเรื่อง การให้ยาระงับความรู้สึกในผู้ป่วยบาดเจ็บของไขสันหลังลงตีพิมพ์ในวิสัญญีสาร
ติดต่อ รพ. นนทเวช แผนกสร้างเสริมสุขภาพ โทร.0-2596-7888
วรวุฒิ ถาวรพรกวิน
|