Written by Administrator
|
Tuesday, 21 August 2018 |
“ผลการตรวจพบว่า มินนีเป็นโรคมะเร็งในเม็ดเลือดจริงดังที่หมอสันนิษฐาน แกเหลือเวลามีชีวิตได้อีกหกสัปดาห์ถึงสามเดือนเท่านั้น” ฉันแต่งงานกับแกรีซึ่งมีอาชีพเป็นนักดับเพลิงและฝันอยากมีลูกสาวตัวเล็กน่ารักเหมือนตุ๊กตา และอยากมีลูกเต็มบ้าน แล้วเราก็มีลูกสาวคนแรกสมใจหมายอย่างราบรื่นไร้อุปสรรคใดๆ มินนีคือหนูน้อยแก้มแดงตาสีฟ้าเจิดจ้าซึ่งชักนำความรักท่วมท้นที่ฉันไม่เคยรู้สึกมาก่อนแบบแม่ๆ ทั้งหลายนั่นเอง แล้วแกรีก็เห่อลูกไม่แพ้กันเพราะมักอุ้มแกไว้เสมอ ครอบครัวเรามีชีวิตที่ผาสุก จนฉันนึกอยากมีลูกอีกคน ฉันบอกแกรีว่า “คราวนี้ต้องได้ลูกชายนะ คุณจะได้มีคนเล่นเบสบอลด้วยไง” เราสองคนหัวเราะขำเหตุผลนี้ แกรีบอกว่า “ลูกชายก็คงดี ผมจะได้มีเพื่อนมั่ง เพราะคุณติดมินนีแจเลยนี่นา” ฉันคิดในใจว่า ผู้ชายมักอิจฉาลูกคนแรกเสมอ แต่จะให้ละความสนใจลูก มาโอ๋สามีคงเป็นไปไม่ได้แน่ๆ ฉันตั้งครรภ์ที่สองตอนมินนีอายุสองขวบ ตอนครรภ์ย่างเข้าเดือนที่สอง ฉันสะดุ้งตื่นด้วยอาการปวดท้องอย่างสุดๆ จนแกรีต้องรีบพาส่งโรงพยาบาล แพทย์ทำการผ่าตัดฉุกเฉินเพื่อช่วยชีวิตฉันด้วยการตัดมดลูกทิ้งไปเนื่องจากก้อนเนื้อในมดลูก แกรีสารภาพด้วยสีหน้าสลดว่า เขาจำใจลงนามอนุญาตให้ผ่าตัดเพราะกลัวฉันตาย ขณะที่ฉันเสียใจมาก “แกรีคะ ฉันก็มีลูกไม่ได้อีกแล้วสิ” แกรีแย้งว่า “เรายังมีมินนีที่สวรรค์ส่งมาให้คนนึงแล้วนี่” เมื่อกลับจากโรงพยาบาล ฉันยิ่งประคบประหงมมินนีมากขึ้นอีกหลายเท่า เพราะแกคือสมบัติล้ำค่าที่มีอยู่ เป็นลูกคนเดียวที่ฉันจะมีได้ในชาตินี้ เมื่อเวลาผ่านไป แกรีได้เลื่อนตำแหน่งเป็นหัวหน้าทีมดับเพลิง มินนีเข้าเรียนอนุบาล แล้วเวลาผ่านไปรวดเร็วกระทั่งแกย่างสู่วัยรุ่น ฉันตั้งใจให้ลูกได้รับความรื่นรมย์ในชีวิตให้มากที่สุด ให้ลูกคบเพื่อนหญิงชายไม่เลือกเพศ เพราะเชื่อมั่นว่าถ้าลูกอบอุ่นมีความสุขที่บ้าน แกจะไม่เร่งด่วนแต่งงานไปก่อนวัยอันควร เพื่อนหนุ่มที่มินนีไปไหนด้วยชื่อเบ็น ซึ่งฉันรู้จักดี คืนหนึ่งเมื่อลูกกลับมา ฉันสังเกตเห็นแกทรุดตัวนอนทั้งที่ยังสวมเสื้อโค้ทอยู่ “เป็นอะไรไปลูก ทะเลาะกับเบ็นหรือ” ฉันถาม แต่มินนีบอกว่า “เปล่าค่ะแม่ หนูเป็นอะไรไม่รู้ เพลียขนาดม่อยหลับระหว่างทางกลับจากดูหนัง เบ็นบอกว่าหนูเป็นประเภทหลับได้เสมอในงานปาร์ตี้” ฉันคลำเนื้อตัวแกก็ไม่พบอาการใดๆ และคิดว่าแกแค่ต้องพักผ่อนมากๆ เท่านั้นเอง กระนั้นก็รู้สึกหวั่นใจโดยไม่รู้สาเหตุขึ้นมาจนได้ มินนีตื่นสายและมีรอยคล้ำใต้ตา ฉันบอกให้ลูกกลับไปนอนต่อ แล้วรีบโทรตามหมอมาตรวจ ซึ่งบอกว่าอาจเป็นอาการไวรัส ให้นอนพักแล้วดูว่ามีไข้หรือไม่ เช้าวันอาทิตย์มินนีอาการดีขึ้นจนไปโบสถ์ได้ แต่กลับมานอนซมเหมือนเดิม วันจันทร์แกยืนกรานไปโรงเรียนตามปกติ ถึงตอนเที่ยงพยาบาลประจำโรงเรียนโทรมาบอกให้ผู้ปกครองไปรับกลับบ้าน เพราะมินนีมีไข้สูง แกบอกฉันว่า “ชั่วโมงพละหนูเกิดปวดหัวจี๊ด หมดแรงยืนไม่ไหว” ฉันคิดว่าลูกเป็นหวัดและให้นอนพัก ตลอดอาทิตย์นั้นมินนีมีไข้สูง ซีดเซียว กระสับกระส่าย กินอาหารไม่ได้ หมอคาดว่าอาจเป็นอาการโลหิตจาง ตอนพาไปหาหมอ พ่อแม่ต้องช่วยประคองขณะพยาบาลเจาะเลือดไปตรวจ สักครู่เราสองคนถูกตามตัวเข้าไปฟังผล ขณะลูกอ่อนเปลี้ยม่อยหลับไป หมอมีสีหน้าสลดจนฉันใจหายวูบ “ผลการตรวจเลือดบ่งว่า เซลส์เม็ดโลหิตขาวมากกว่าปกติหกเท่า หมอเกรงว่ามินนีป่วยหนักและต้องตรวจต่อไปอีกมาก” หมอหยุดอึ้งไปครู่หนึ่ง “เกรงว่าจะเป็นโรคมะเร็งในเม็ดโลหิตขาว” คำพูดของหมอระเบิดตูมเข้ามาในหัวสมองฉันแทบแหลกสลายเป็นเสี่ยงๆ ไม่จริง! ไม่จริงแน่ๆ เสียงหมอแว่วมาเหมือนอยู่ไกลลิบ “หมออยากให้มินนีเข้าโรงพยาบาลทันที เพื่อทำการตรวจไขอ่อนในโพรงกระดูก”แกรีถามตะกุกตะกักว่า “เรามีความหวังบ้างไหมครับ” “คนไข้หลายคนก็สู้โรคนี้ได้นะ เพราะฉะนั้นอย่าเพิ่งหมดหวังเลย” หมอบอก ผลการตรวจพบว่า มินนีเป็นโรคมะเร็งในเม็ดเลือดจริงดังที่หมอสันนิษฐาน แกเหลือเวลามีชีวิตได้อีกหกสัปดาห์ถึงสามเดือนเท่านั้น ทำไมต้องเป็นมินนี? ทำไมต้องเป็นลูกของฉัน? ฉันคิดด้วยหัวใจปวดร้าวสุดประมาณ กระนั้นเราสองคนใช้ความพยายามยิ่งยวดทุกครั้งที่ไปเยี่ยมลูกด้วยการยิ้มหัว คุยเรื่องไร้สาระ ทำให้แกหัวเราะ ขณะลูกหัวเราะ หัวใจพ่อแม่ร่ำไห้อย่างปวดร้าวกับความเป็นจริงที่ลูกไม่ได้ล่วงรู้ มินนีได้รับคำบอกเล่าแค่ว่าเป็นโรคโลหิตจางอย่างหนัก ถึงต้องรับเลือดและยาต่างๆ สักวันแกคงจะได้รู้ความจริง แต่ตอนนี้เราแสร้งทำเป็นว่าอนาคตแกยังสดใส เต็มไปด้วยความหวังและความสุข เวลาเบ็นแวะมาเยี่ยม มินนีจะมีหน้าตาสดใสทันที แต่ลูกสาวคนเดียวของฉันจะไม่มีวันได้รื่นรมย์กับการมีครอบครัว ไม่มีวันได้สวมเสื้อวิวาห์สีขาวฟูฟ่อง ไม่มีวันได้เป็นภรรยาหรือแม่ หมอให้เราพาลูกกลับมาพักต่อที่บ้าน “เลือดและยาบำบัดจะทำให้แกฟื้นตัวได้ชั่วคราว แต่นานแค่ไหนหมอบอกไม่ได้ ถ้าอาการทรุดลงก็ต้องให้ยาบำบัดแบบเดิมอีกไปเรื่อยๆ วงการแพทย์ยังไม่มีทางบำบัดมะเร็งในเม็ดเลือดชนิดร้ายแรงแบบที่มินนีเป็นได้” เด็กหญิงตัวผอมซีด เหนื่อยง่ายกรายเงามรณะเข้าไปทุกขณะ การเก็บความลับเรื่องโรคร้ายจัดเป็นเรื่องยากเวลาที่แกพูดเรื่องงานเต้นรำที่โรงเรียนหรือการแต่งงานกับเบ็นในสักวันหนึ่งและมีลูกหลานด้วยกัน ฟังเสมือนคมมีดกรีดแทงแผลในหัวใจฉันแปลบปลาบโลหิตอาบนอง นี่เป็นความฝันของผู้ที่ถูกกำหนดชะตาชีวิตให้ดับสูญหรือไร มินนีพยายามซัก “แม่คะ หนูเป็นอะไรกันแน่เนี่ย ไม่ใช่โรคโลหิตจางแน่ๆ ดูท่าทางพ่อกับแม่สิ มันต้องแย่มากเลยใช่มั้ย หนูมีสิทธิ์รู้นะคะ หนูเป็นมะเร็งใช่มั้ย” ฉันสะอื้นขณะกอดลูกไว้อย่างปลอบประโลม “หนูเคยอ่านเรื่องโรคนี้มาแล้ว มันจะนานแค่ไหนคะ” “ก็อาจหลายปีนะลูก ยาใหม่ๆ การให้เลือดช่วยบำบัดได้” ฉันโกหกทั้งที่น้ำตาไหลพราก แต่มินนีกระซิบว่า “ไม่เป็นไรหรอกค่ะแม่ คนเราก็ต้องตายกันทั้งนั้นในซักวันนึง หนูจะพยายามไม่กลัวหรอก” “แต่แม่ปล่อยลูกไปไม่ได้” ฉันโหยไห้ แล้วเราสองคนแม่ลูกกอดกันแน่น ประหนึ่งไม่ยอมให้มีสิ่งไรมาพรากจากกันไปได้เลย ตอนเบ็นแวะมาเยี่ยมมินนีแล้วกลับออกไปด้วยสีหน้าโศกสลด ฉันรู้ได้ว่ามินนีคงบอกข่าวร้ายกับเขาแล้ว “แม่คะ หนูกับเบ็นอยากแต่งงานกันตอนหนูออกจากโรงพยาบาล” มินนีบอกเมื่อฉันกลับเข้าไปหา แล้วฉันอุทานอย่างตระหนก หากลูกน้ำตาไหลพราก “เราขอแค่ความสุขเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้นเอง ความตายจะได้ไม่น่ากลัวมากอย่างที่เป็นอยู่” สมองฉันคิดพล่านว่า ความตึงเครียดจากการแต่งงานและภาระการเป็นภรรยา โดยสภาพร่างกายอาจทำให้จุดจบมินนีกรายมาเร็วมากขึ้นไปอีก แล้วฉันก็เห็นแก่ตัวไม่อยากแบ่งลูกกับใครในช่วงเวลาที่เหลือน้อยนิดนี้ “หนูกับเบ็นจะอยู่กับพ่อแม่ต่อไป เบ็นเข้าใจดีว่าหนูไม่แข็งแรง เขาจะระวังหนูเป็นอย่างดี เขารักหนูนะคะแม่” คำพูดซื่อๆ ของลูกทำให้ฉันละอายใจว่า ตัวเองไม่มีสิทธิ์ขัดขวางทางเลือกของลูก เพราะความรักคือความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ใจกว้าง ไม่ใช่ความเห็นแก่ตัว นั่นเป็นความรักที่ฉันพึงมอบให้ลูกตัวเอง “ขอแม่คุยกับพ่อก่อนนะลูก” เท่านี้ก็ทำให้รอยยิ้มมินนีสดใสขึ้นมาทันที แพทย์มีความเห็นว่า การแต่งงานจะไม่มีอันตรายกับมินนีตราบเท่าที่เราดูแลแกเช่นนี้ต่อไป ดังนั้นสี่เดือนหลังจากกลับจากโรงพยาบาล มินนีกับเบ็นเข้าพิธีแต่งงานเล็กๆ กันที่โบสถ์ แกสวยเหลือเกินในเสื้อวิวาห์สีขาว ฉันน้ำตาไหลพรากไม่หยุด มินนีเป็นลูกสาวและเป็นภริยาแล้วในวาระนี้ แต่สิบสามวันหลังแต่งงานมินนีอาการทรุดหนักลง ซึ่งนับได้หกสัปดาห์พอดีนับแต่หมอวินิจฉัยโรค ฉันเฝ้าภาวนาขออย่าให้เวลานั้นมาถึงเลย เมื่อรับเลือดและยาบำบัดอีกสามครั้ง มินนีก็ได้กลับบ้านอีก ห้าสัปดาห์ต่อมา มินนีบอกว่าแกตั้งครรภ์ หมอเคยเตือนเบ็นแล้วถึงอันตรายนี้ แต่มินนียืนกรานยอมเสี่ยง ฉันยิ่งขมขื่นมากขึ้นเมื่อคิดถึงสองชีวิตที่จะดับสูญไป หมอไม่ได้มองในแง่ดีและบอกฉันกับสามีว่า มินนีคงไม่รอดชีวิตไปจนถึงกำหนดคลอดทารกได้ “หมอให้เวลาอีกเดือนเดียว เพราะเซลส์เม็ดเลือดขาวเพิ่มปริมาณสูงมากขึ้นทุกขณะแล้ว” หมอบอก ตอนหกสัปดาห์ผ่านไป มินนีนอนแซ่วเป็นส่วนใหญ่ โดยหมอให้ยาชนิดใหม่และให้เลือดสัปดาห์ละสองครั้ง เดือนต่อมาทารกในครรภ์ดิ้น ทำให้แกตื่นเต้นและมีความเชื่อว่าจะอยู่จนครบกำหนดคลอดได้ ขณะหมอส่ายหน้า “นี่เป็นการฟื้นตัวแค่ชั่วคราวเท่านั้น ไม่มีหวังจริงๆ ไม่มีทางเลย...” จู่ๆ มินนีหมดสติเข้าสู่ขั้นโคม่าหนักในฉับพลัน ถึงจุดอวสานที่เลี่ยงไม่ได้แล้ว แกกำลังพ่ายแพ้สงครามที่เฝ้าฟาดฟันมานาน กระนั้นมินนียังฝืนสู้สุดชีวิตแบบที่หมอเองก็ยังตะลึง “หนูจะมีชีวิตอยู่เพื่อลูก” แกบอกอย่างหนักแน่นขณะครรภ์ห้าเดือน น้ำหนักตัวแค่เก้าสิบปอนด์ นอนแซ่วตลอดจนหมอบอกว่า “เหลือเวลาอีกไม่กี่วันหรือไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น” มินนีต้องรับออกซิเจนเพราะหายใจเองไม่ได้ แกกระซิบแผ่วว่า “ช่วยหนูด้วย แม่” เวลาล่วงผ่านจากวันเป็นสัปดาห์ กระทั่งครรภ์ย่างเข้าเดือนที่หกและได้รับอาหารทางน้ำเกลือ หมอบอกว่า “เป็นเรื่องอัศจรรย์แท้ๆ ไม่อยากเชื่อเลย” แต่ฉันกรีดร้องอย่างสุดทนว่า “โหดร้ายเหลือเกินที่จะให้ทารกเกือบจะได้ลืมตามาชมโลก แต่กลับรีบพรากไปเสียก่อนแบบนี้” สิบสองวันต่อมามินนีหมดลมหายใจหลังจากหมดสติเข้าขั้นโคม่าและไม่ฟื้นขึ้นมาอีกเลย เราทุกคนอยู่รอบกายแกในวาระนั้น มินนีหายใจเฮือกสุดท้ายก่อนแน่นิ่งไป แกยอมแพ้การต่อสู้ครั้งนี้และฉันเป็นลมหมดสติไป ขณะหูแว่วได้ยินเสียงหมอขออนุญาตเบ็นทำการผ่าตัดคลอดทารก ด้วยความหวังแค่หนึ่งในล้านว่า ทารกยังมีชีวิตอยู่ ตอนฉันได้สติขึ้นมาอีกครั้ง แกรีกระซิบบอกว่า “ทารกยังมีชีวิตอยู่ เป็นเด็กผู้หญิง น้ำหนักหนึ่งปอนด์ ตัวเล็กเหมือนตุ๊กตาที่มินนีเล่น...” เหตุการณ์ผ่านไปหกปีแล้ว เบ็นสมัครเป็นทหารเรือประจำอยู่ที่ญี่ปุ่น หนูน้อยลิซ่าอยู่กับตาและยาย แกมีหน้าตาเหมือนแม่จนเป็นทั้งความรื่นรมย์และขมขื่นของฉัน ลิซ่าเป็นของขวัญที่มินนีมอบให้เรา และเหนืออื่นใดนั้น มินนีสอนให้เรามีความเชื่อมั่นในรักอันยืนยงนิรันดร์ด้วย ลูกจะเป็นความทรงจำที่เปี่ยมล้นของพ่อแม่ไปตลอดกาล โสภาพรรณ รัตนัย เรื่องแปลกจาก ทู ดาย แฮปปี้
|