น้ำคัดหลั่งในช่องคลอดซึมเปื้อน |
Written by Administrator
|
Wednesday, 02 June 2010 |
พญ.สุนี ไมตรีสถิต
สูติแพทย์
|
“ถ้าเป็นตกขาวที่ผิดปกติจะมีกลิ่นเหม็นอับ
หรือกลิ่นเหม็นเหมือนกลิ่นกุ้งเน่าหรือกลิ่นปลาเค็มที่โชยออกมา
หรืออาจมีสีขุ่นเหมือนกากน้ำนมเด็กที่บูดๆ หรือสีเหลืองเป็นหนอง หรือสีเหลืองเขียวฟองๆ”
ปัจจุบันตั้งครรภ์ได้ 3 เดือนเศษค่ะ แพ้ท้องมาได้เดือนกว่าๆ แล้ว ทานนมวัวและนมถั่วเหลืองไม่ได้เลย
รู้สึกอยากอาเจียนทุกครั้ง ควรทำอย่างไรดีคะ
ขอคำแนะนำด้วยค่ะ
“คุณแม่ตั้งครรภ์ 3 เดือนแรกมักมีอาการแพ้ท้องเป็นเรื่องปกติที่อาจเป็นได้ค่ะ
ซึ่งโดยเฉลี่ยปัญหาที่เกิดจะเป็นในระยะเริ่มต้นสัปดาห์ที่ 6 – 8 ของการตั้งครรภ์ และจะหายไปประมาณสัปดาห์ที่ 12 - 16 ค่ะ สาเหตุที่แท้จริงไม่ทราบ
แต่อาจจะสัมพันธ์กับฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน ซึ่งทำให้อาหารผ่านกระเพาะช้าและระบบการย่อยอาหารไม่ดี
จึงทำให้มีอาการท้องอืด ย่อยยากและคลื่นไส้ง่าย
...ดังนั้น อย่าว่าแต่นมวัวหรือนมถั่วเหลือเลยค่ะที่แพ้ คุณแม่ตั้งครรภ์หลายท่านแม้แต่อาหารธรรมดาก็มักทานไม่ได้
หมอจึงคิดว่าถ้าดื่มไม่ได้ก็ไม่ต้องฝืน
อาจจะแก้ไขโดยการเปลี่ยนเป็นดื่มนมเปรี้ยวแทน ก็สามารถช่วยได้ หรืออาจจะดื่มน้ำเต้าหู้แทน เพราะจะได้รับประโยชน์มากกว่าเครื่องดื่มอื่นๆ
แต่ถ้าจะเทียบกับนมวัวอาจจะสู้นมวัวไม่ได้ ตรงที่น้ำเต้าหู้ให้แคลเซียมน้อย แต่น้ำเต้าหู้ให้โปรตีนเกือบเท่าตัวเมื่อเทียบกับนมวัว
และมีไขมันที่ดีกว่า คือให้กรดไขมันไม่อิ่มตัวมากกว่านมวัว ช่วยลดโคเลสเตอรอล
หากต้องการแคลเซียมก็ให้ทานแคลเซียมทดแทนได้จากอาหารจำพวกผักใบเขียว
ปลาตัวเล็กตัวน้อย เป็นต้น และพอพ้น 3 เดือนไปแล้ว
อาการดีขึ้นค่อยลองทานนมวัวหรือนมถั่วเหลืองอีกครั้งก็ได้ค่ะ
...ขณะเดียวกัน คุณแม่ก็ต้องระวังเรื่องการรับประทานอาหารด้วย
โดยไม่ควรรับประทานอาหารที่มัน เกินไปหรือรับประทานอาหารที่ย่อยยากจนเกินไป
เพราะจะทำให้ท้องอืด ย่อยยาก ควรจะแบ่งมื้ออาหารเป็น 5 - 6 มื้อ แล้วค่อยๆ
รับประทานเพื่อให้ท้องย่อยอาหารง่ายขึ้น และควรดื่มน้ำระหว่างมื้ออาหาร
ก็จะทำให้ไม่ค่อยคลื่นไส้ อาการแพ้ท้องจะได้ดีขึ้น”
ไปตรวจมาวันเสาร์
สัปดาห์ที่แล้ว คุณหมอแจ้งว่าตั้งครรภ์ได้ 10 สัปดาห์แล้ว
ดีใจมากค่ะ แต่ที่จะถามคุณหมอคือ ตนเองตื่นเช้ามาสังเกตว่า มีน้ำใสๆ ไหลซึมเปื้อนแถวกางเกงค่ะ
แต่ไม่มีอาการปวดท้อง แบบนี้แล้วถือเป็นอาการปกติหรือไม่
และต้องไปพบคุณหมอหรือไม่คะ
“ถ้าเราบอกว่าตั้งครรภ์
10 สัปดาห์ คือช่วง 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ น้ำใสๆ ไหลซึมเปื้อนแถวกางเกงและไม่มีอาการปวดท้อง
น่าจะหมายถึงน้ำคัดหลั่งในช่องคลอด หรือภาวะตกขาวที่ปกติจะเป็นลักษณะใสๆ เหนียวๆ ไม่มีสี
ไม่มีกลิ่น เกิดจากระหว่างตั้งครรภ์ ในช่องคลอดจะมีแบคทีเรียที่ดีเพิ่มมากขึ้น ทำให้มีการสร้างกรดแลคติคจากกลัยโคเจนเพิ่มขึ้นมากภายในเซลล์ของเยื่อบุผนังช่องคลอด
ทำให้สารน้ำของช่องคลอดเป็นกรดซึ่งจะมีส่วนช่วยป้องกันการแบ่งตัวของแบคทีเรียที่เป็นเชื้อโรค
ซึ่งโดยธรรมชาติผู้หญิงเราก็จะมีตกขาวที่เป็นปกติได้อยู่แล้วนะคะ ยิ่งช่วงระหว่างตั้งครรภ์ก็จะมีตกขาวที่ปกติเป็นน้ำใสๆไหลมากขึ้น
...คุณแม่ลองสังเกตดูว่าน้ำที่ไหลเหนียวๆ ยืดๆ ไม่มีสี ไม่มีกลิ่นหรือไม่
ถ้าใช่ก็คือตกขาวหรือสารคัดหลั่งจากช่องคลอดที่ปกติ
แต่ถ้าเป็นตกขาวที่ผิดปกติจะมีกลิ่นเหม็นอับ
หรือกลิ่นเหม็นเหมือนกลิ่นกุ้งเน่าหรือกลิ่นปลาเค็มที่โชยออกมา
หรืออาจมีสีขุ่นเหมือนกากน้ำนมเด็กที่บูดๆ หรือสีเหลืองเป็นหนอง
หรือสีเหลืองเขียวฟองๆ แต่ถ้าไม่ใช่ ก็ลองดูว่าเป็นน้ำปัสสาวะราดไหลเล็ดหรือไม่
หรือเป็นน้ำเดิน หรือน้ำคร่ำไหลหรือไม่
...แต่ส่วนตัวหมอคิดว่าช่วง 10 สัปดาห์แรกของการตั้งครรภ์
ไม่น่าจะใช่น้ำเดินหรือน้ำคร่ำไหลหรอกค่ะ น่าจะเป็นสภาวะของน้ำคัดหลั่งในช่องคลอด
หรือภาวะตกขาวที่ปกติมากกว่า ถ้าคุณแม่ไม่มั่นใจว่าเป็นอะไรกันแน่ ก็ควรมาตรวจค่ะ
จะได้ทราบว่าน้ำที่ไหลออกมา ปกติหรือไม่ปกติ”
อายุครรภ์ 7 เดือนกว่าแล้วค่ะ ทราบแล้วว่าเป็นลูกชาย สุขภาพแข็งแรงดี แต่ที่สงสัยคือ
ตนเองตอนนี้มีอาการชาที่หัวเข่าไปถึงปลายเท้าข้างซ้าย บางครั้งบวมจนเดินเป๋ บางครั้งก็ไม่มีอาการ
อยากทราบว่าเกิดจากอะไร และพอจะมีวิธีบรรเทาอาการบวมไหมคะ
“อายุครรภ์ 7 เดือน
คุณแม่ก็จะรู้สึกเหมือนกำลังอุ้มแตงโมลูกหนึ่งนะคะ ก็จะมีน้ำหนักตามแรงโน้มถ่วง
ทำให้หน้าท้องของคุณแม่หย่อนลงตามปกติ ซึ่งตัวมดลูกเองก็อาจจะไปกดทับบริเวณขาหนีบหรืออุ้งเชิงกราน
ทำให้การไหลเวียนของเลือดหรือต่อมน้ำเหลืองจากส่วนล่างใต้ขาหนีบและขา 2 ข้างไม่ดีเท่าคนปกติ
ขณะเดียวกันการถ่ายน้ำหนักลงไปที่ขาหรือเท้าที่ไม่สมดุลข้างใดข้างหนึ่งเป็นเวลานานๆ
ก็อาจทำให้เท้าของคุณแม่ข้างนั้นปวดบวมและชาได้ค่ะ
...แต่ทีนี้กรณีของคุณแม่ที่มีอาการชาที่หัวเข่าไปถึงปลายเท้าซ้าย
ก็ต้องมาพิจารณาดูว่า ทำไมคุณแม่ถึงมีอาการชาไปเฉพาะที่ปลายเท้าซ้ายเท่านั้น และทำไมถึงไม่มีอาการชาไปที่เท้าทั้งสองข้างเท่ากัน
คงต้องมาดูว่าบุคลิกลักษณะท่าทางการนั่งการนอนการยืนและการใช้ชีวิตของคุณแม่ ในช่วงนี้เป็นอย่างไร
ยืนเอียงซ้ายมากเกินหรือไม่ หรือเวลานั่ง ไม่ได้นั่งตรงๆ หรือเปล่า
และกรณีที่ส่วนนำของทารก ไม่ว่าจะเป็นศีรษะหรือส่วนนำที่เป็นก้นของทารกจะไปกดเบียดมดลูก
ทำให้เกิดการกดเบียดบริเวณขาหนีบข้างซ้าย
ทำให้ระบบการไหลเวียนของเลือดและต่อมน้ำเหลืองไหลไม่ดีหรือไม่ หรือคุณแม่ท่านนี้อาจจะมีอาการของโรคไขข้อ โรคเข่าข้างซ้ายที่มีเป็นปัญหาลึกๆ
แอบแฝงอยู่ก่อนตั้งครรภ์หรือไม่
หากไม่แน่ใจอาจจะต้องไปตรวจเพื่อหาสาเหตุและปัญหาที่แท้จริงกับสูตินรีแพทย์และศัลยแพทย์กระดูกร่วมด้วย
...ส่วนวิธีแก้ไขและบรรเทาอาการต้องดูที่สาเหตุ
หากอาการเป็นเพราะการถ่ายน้ำหนักลงไปที่ขาหรือเท้าที่ไม่สมดุลข้างใดข้างหนึ่งเป็นเวลานานๆ
คุณแม่ที่ตั้งครรภ์ต้องพยายามฝืนตัวเองให้เอียงไปอีกข้าง เพื่อว่าตัวมดลูกจะได้ไม่ไปกดเบียดบริเวณขาหนีบหรืออุ้งเชิงกรานข้างนั้น
เป็นระยะเวลานานๆ จนก่อให้เกิดปัญหา ขณะเดียวกันก็ให้ลองสังเกตโดยการกดตรงหน้าแข้งเวลานอน
ดูว่ากดแล้วบุ๋ม พอปล่อย รอยบุ๋มหายหรือไม่ หากมี แสดงว่าอาการบวมอาจจะเกิดจากท่วงท่าลีลาที่ไปกดทับ
และเวลานอน คุณแม่ก็อาจเอาผ้าหรือหมอนข้างยกหนุนปลายข้อพลับ น่องและเท้า 2 ข้างขึ้นมาเล็กน้อย
ก็จะช่วยลดอาการบวมได้ค่ะ
...แต่ถ้าลองแล้วไม่ดี ก็แนะนำให้มาพบแพทย์ค่ะ แต่ถ้าอาการเป็นจากปัญหาทางด้านกระดูกและข้อที่ผิดปกติ ก็คงต้องแก้ไขอาการตามสาเหตุที่เป็นกับแพทย์ทางศัลยกรรมกระดูกค่ะ”
ขอขอบคุณ โรงพยาบาลบางกอก 9 อินเตอร์เนชั่นแนล
โทร.0-2877-1111
|
Last Updated ( Wednesday, 02 June 2010 )
|