หมวดหมู่บทความ เจริญเติบโตแข็งแรง 7 – 9 ปี

Search by tag : เจริญเติบโตแข็งแรง, 7 – 9 ปี, นิสัยเหล่านี้ที่คุณแม่ควรสอนหนู


ภาษาของหนูใครว่า ยาก
Written by Administrator   
Friday, 21 October 2011
             เรื่องภาษากับลูกน้อยคงมีหนังสือ และสื่อต่างๆ เผยแพร่มาค่อนข้างเยอะค่ะ เพียงแค่คลิกเข้าอินเตอร์เน็ตเราก็จะพบข้อมูลมากมาย แต่อย่าคลิกให้มากเลยค่ะ อุดหนุนแม่และเด็กเหมือนเก่าดีอยู่แล้ว อิ อิ ไม่งั้นคนเขียนจะตกงานเอา สรุปได้ความว่า สำหรับใครบางคนที่ไม่เคยทราบมาก่อน หรือต้องการตอกย้ำความรู้ที่มีอยู่เข้าไปอีกและกัน
ภาษา...เริ่มเมื่อไหร่น้า

 

  • เบบี๋ตั้งแต่แรกเกิดมีความสามารถในการฟังและจำเสียงคุณแม่ได้ตั้งแต่อายุ 2 - 3 ชั่วโมงแรกเลยค่ะ แต่ที่จริงเขารับรู้ตั้งแต่อยู่ในท้องเลยค่า
  • เมื่ออายุ 4 เดือน เด็กจะเริ่มแยกเสียงสูงตํ่าได้ ระบบการได้ยินเริ่มเข้าที่เข้าทางมากขึ้น
  • เมื่ออายุ 6 เดือน เด็กจะเลือกฟังเสียงที่ตนพอใจ และสนองตอบต่อเสียงนั้นได้ในระดับหนึ่ง พร้อมส่งภาษาท่าทางประกอบตาม
  • อายุ 7 - 12 เดือน เด็กจะเริ่มเข้าใจความหมายของคำ ได้ เช่น รู้ชื่อของตัวเอง ตลอดจนคำต่างๆ อย่างคำว่า “มาม้า”,”ปาป๊า”,“ไม่” , “หม่ำ” ฯลฯ
  • ในช่วง 1 - 2 ปี เด็กเรียนรู้คำศัพท์ได้มากขึ้น จะมากมายขนาดไหนก็อยู่ที่คุณพ่อคุณแม่ค่ะ
  • อายุ 18 เดือน เด็กรู้จักส่วนต่างๆ ของร่างกายอย่างน้อย 5 ส่วน รวมทั้งชี้รูปภาพได้ 2 - 3 รูป
  • อายุ 2 ปีครึ่งขึ้นไป เข้าใจคำกิริยาเข้าใจคำสั่งง่าย ๆ เช่น หยิบตุ๊กตามาให้แม่ , ลองถอดรองเท้าดูสิคะ ฯลฯ
  • อายุ 4 - 5 ปีเข้าใจคำ ถามง่ายๆ และตอบคำถามได้ “เจ้าหนูจำไม” จะมาก็วันนี้แหล่ะค่ะ คุยทั้งวัน จ้อไม่หยุดเลย

การแสดงออกทางภาษา
         การรับรู้ทางภาษาและการแสดงออกทางภาษานั้น จะพัฒนาอย่างรวดเร็วมากในช่วง 3 ปีแรกของลูก เรียกว่า ตั้งแต่แรกเกิดเลยทีเดียว โดยในช่วงระหว่างวัยนี้ ลูกจะมีพัฒนาการด้านการรับรู้เกี่ยวกับภาษามากกว่าการแสดงออกทางภาษา พูดง่ายๆ ได้ว่า ลูกของคุณแม่จะสามารถเ            ข้าใจสิ่งต่างๆ ที่ได้ยินได้อย่างมากมาย เพียงแต่ยังสื่อสารกลับมาได้น้อยกว่าที่เขาเข้าเข้าใจนั่นเอง
โดยเฉพาะในวัยนี้ 6 – 7 เดือน การเล่นเสียงอ้อๆ แอ้ๆ จะแตกต่างจากวัยทารกอย่างเห็นได้ชัด การออกเสียงแต่ละคำแม้จะฟังไม่ชัดว่า ลูกต้องการพูดอะไร แต่ก็เป็นการออกเสียงที่ออกมาอย่างมีเป้าหมาย การออกเสียงในลักษณะนี้ เสมือนเป็นแบบฝึกหัดเพื่อเตรียมตัวสำหรับการพูดจริงต่อไปในอนาคต
เทคนิคกระตุ้นภาษาเลิฟ

  • ผลัดกันรับส่ง     ก็เป็นเทคนิคง่ายๆ มากค่ะ ที่สำคัญคือนอกจาก คุณพ่อคุณแม่ต้องหมั่นคุยกับลูกน้อยสม่ำเสมอแล้ว ต้องพยายามใช้ทั้งคำพูดและภาษากาย รวมทั้งอายคอนแทคประกอบด้วย ประมาณพี่เบิร์ดเล่นอยู่บนคอนเสิร์ตเลยค่ะ โดยมีเคล็ดลับเพิ่มว่า เมื่อคุณพ่อคุณแม่พูดจบหนึ่งประโยคแล้ว จะต้องหยุดก่อนที่จะเริ่มประโยคใหม่ต่อไป คล้ายๆ ราวกับว่าลูกเป็นคู่สนทนาที่กำลังคุยกันได้ออกรสออกชาติ
  • ระดับเสียงที่แตกต่างกัน       การกระตุ้นด้วยการคุยกับลูกบ่อยๆ เหมือนคู่สนทนาคนหนึ่ง ก็เป็นเทคนิคหนึ่งค่ะ ที่ทำให้เด็กมีพัฒนาการทางภาษาที่ดีขึ้นมากๆ เพราะเขาจะรู้สึกว่า “การพูดคุยเนี่ย มันช่างสนุกจังเลย” อารมณ์คงคล้ายๆ เวลาเราหัดขับรถยนต์ทีแรก ขับไกลแค่ไหนก็ไม่หวั่น รู้สึกสนุกไปหมด แต่ทั้งนี้ การพูดคุยก็ต้องใช้ระดับเสียงที่แตกต่างกันด้วย เราอาจได้ยินลูกเลิฟที่พยายามเลียนแบบด้วยการทำเสียงอ้อแอ้ๆ ด้วยน้ำเสียงสูงๆ ต่ำๆ ซึ่งขณะนั้น ลูกอาจกำลังคิดอยู่ว่า “หนูกำลังพยายามพูดกับแม่อยู่นะ” ก็ได้ค่ะ
  • เน้นประโยคสั้นๆ     การแสดงสีหน้าโอเวอร์แอคติ้งจะเป็นอะไรที่เด็กสนุกสนานมากค่ะ กับท่าทางตลก แต่ดูน่ารัก สดใสเหมือนสาวเกาลหีของคุณแม่ นอกจากนี้แล้ว ลูกเลิฟของคุณจะชอบฟังประโยคสั้นๆ เข้าใจง่าย ไม่มีอะไรซับซ้อน เพราะเขาสามารถรับรู้ และคาดเดาได้ง่าย ก็จะรู้สึกสนุกกับการพูดคุยไปด้วย แต่ทั้งนี้ ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องโอเวอร์แอคติ้งตลอด สีหน้าเป็นธรรมชาติด้วยท่าทีปกติของคุณแม่ก็ยังสามารถพูดคุยได้ค่ะ สลับๆ กันไปตามความเหมาะสม
  • ศัพท์พื้นฐาน     ในแต่ละวัน คุณแม่ควรพูดคุยกับลูกได้ศัพท์พื้นฐานที่เกี่ยวโยงกับชีวิตประจำวันของเขาบ่อยๆ เช่น

- คุณแม่อาจพูดคำว่า “อาบน้ำ” ขณะที่กำลังถอดเสื้อผ้าเขาอยู่ หรือด้วยอุ้มพาเขาไปที่กระมังอาบน้ำส่วนตัว
- อย่างเวลาหม่ำนม คุณแม่ก็อาจพูดว่า “หม่ำนม” พร้อมโชว์ขวดนมขึ้นมาให้เขาเห็นก็ได้
- อย่างเวลานอน คุณแม่ก็อาจโชว์สิ่งที่ลูกชอบ อย่างตุ๊กตาตัวโปรดที่เขาชอบโกรธ อย่างพูดว่า “น้องหมี ได้เวลานอนแล้วจ้า” สิ่งเหล่านี้ เราสอนศัพท์ต่างๆ ให้ลูกด้วยการมีวัตถุเป็นตัวเชื่อมโยง ก็จะทำให้ลูกเรียนรู้ความหมายได้รวดเร็วขึ้นค่ะ ซึ่งก็อยู่ที่เทคนิคของคุณแม่แต่ละคน ซึ่งอาจไม่เหมือนกันหรอกค่ะ ลองเอาไปปรับใช้กันดู

หนูไม่ชอบคำซ้ำๆ
มีข้อให้คุณแม่ลองพิสูจน์ ซึ่งจริงๆ แล้ว แม้ว่า ลูกจะอยู่ในวัยเพียงแค่ 4 เดือนเท่านั้น เขาก็สามารถแยกแยะความแตกต่างระหว่างเสียงของคำที่ต่างกันได้แล้ว ซึ่งก็มีงานวิจัยค่ะ ว่าเด็กจะเริ่มเบื่อและหมดความสนใจ เมื่อได้ยินการออกเสียงพยัญชนะซ้ำๆ หลายๆ ครั้ง เช่น บาบา บาบา บาบา แต่เมื่อเปลี่ยนเสียงเป็น บาพา บามา บาลา ทารกกลับชอบค่ะ เขาสามารถดูดนมได้เร็วขึ้น ซึ่งการวิจัยนี้ จังสรุปได้ว่า ลูกน้อยชอบเสียงที่มีความแตกต่างมากกว่าเสียงที่ซ้ำๆ กันค่ะ
ที่มา หนังสือ What is my  baby thinking? โทร.02-8141481



แสดงแบบ ด.ญ.ธนิสรา กองทิพย์ (น้องเอย)


ความเห็น (0)Add Comment
เขียนแสดงความเห็น

busy